Pages

เกิดจากความว่างของผมมันทำให้เกิด Blog ส่วนตัวของผมเองครับ อย่างน้อยๆก็เอาไว้เก็บข้อความดีๆ ถ้าบทความถ้ามี Credit ผมก็จะให้ Credit นะครับ แต่บางบทความผมก็ก็อปมานนานแล้ว จำไม่ได้ยังไงผมก็ขอโทษด้วยนะครับ ผมหวังว่าบางที มันอาจเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อนก็ได้นะครับ ^^ ผมจะพยาม update มันบ่อยๆนะครับ (ไร้สาระเยอะน่อย -..- )
 

สิ่งประดิษฐ์ที่ถูกค้นพบโดยบังเอิญ

0 ความคิดเห็น
10 อันดับสิ่งประดิษฐ์ที่ถูกค้นพบโดยบังเอิญ
เมื่อจะกล่าวถึงสิ่งประดิษฐ์ส่วนมากเกิดจากความพยายาม ของเจ้าของสิ่งประดิษฐ์ โดยทำการลองผิดลองถูกบ้าง มีทั้งที่ ประสบความสำเร็จและไม่ประสบความสำเร็จ  แต่สิ่งประดิษฐ์ที่จะ กล่าวต่อไปนี้เป็นอันดับ 10 สิ่งประดิษฐ์ที่เกิดจากความไม่ตั้งใจ ของผู้ประดิษฐ์คิดค้น ทำให้เกิดเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่มีคุณค่า และถูกนำ มาใช้งานกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน



อันดับที่ 1 ยาเพนิซิลลิน (Penicillin)
เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2471 หรือประมาณ 80 กว่าปีมาแล้ว  เนื่องจาก Alexander Fleming ไม่ได้ทำความสะอาดห้องทดลอง ก่อนจะลาไปพักผ่อน เมื่อ Fleming กลับมายังห้องทำงาน  เขา สังเกตุเห็นเชื้อราแปลกๆเจริญเติบโตอยู่บนจานอาหารที่เลี้ยงเชื้อ  และรอบๆเชื้อราเหล่านั้นไม่มีการเจริญของเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่นๆเกิดขึ้น  ซึ่งเป็นเชื้อราที่ใช้ผลิตเพนิซิลลิน  เพนิซิลลินจึงเป็นยาปฏิชีวนะชนิดแรกที่ถูกค้นพบและยังมีการใช้งานกันอย่างแพร่ หลายในปัจจุบัน


อันดับที่ 2 เครื่องไฟฟ้ากระตุ้นหัวใจ (Pacemaker)
เครื่อง Pacemaker เป็นอุปกรณ์ช่วยชีวิตทางการแพทย์ อุปกรณ์ชนิดนี้เกิดจากความสะเพร่าของวิศวกรชาวอเมริกันท่านหนึ่งชื่อ Wilson Greatbatch ขณะกำลังต่อวงจรไฟฟ้าของ เครื่องบันทึกอัตราการเต้นของหัวใจ  โดย Greatbatch ต้องการ หยิบ resistor (ตัวต้านทานกระแสไฟฟ้า) ขนาด 10,000 โอห์ม แต่เขากลับไปหยิบ resistor ขนาด 1,000,000 โอห์มมาใช้แทน โดยไม่ได้สังเกตุ  ซึ่งเมื่อเขานำวงจรดังกล่าวมาใช้งาน  ได้พบว่า มีลักษณะเหมือนจังหวะการเต้นของหัวใจที่เต้น 1.8 มิลลิวินาที แล้วหยุดเต้นอีก 1 วินาที เป็นอย่างนี้ซ้ำไปเรื่อยๆ

อันดับที่ 3 สีสังเคราะห์สีม่วง (Mauve)
เรื่องนี้ที่มีความสัมพันธ์กันอย่างแปลกๆ เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2399  โดย William Perkin นักเคมีวัย 18 ปี พยายามคิดค้น ยารักษาโรคมาลาเรีย  แต่การทดลองของ Perkin แทนที่จะได้ยา รักษาโรคมาลาเรียแต่กลับได้หมอกหนาทึบสีม่วงที่สวยงามจาก ปฏิกริยาทางเคมี  ซึ่งถือเป็นสีย้อมสังเคราะห์สีแรกที่ค้นพบมี คุณสมบัติดีกว่าสีที่ได้จากธรรมชาติ  เนื่องจากมีความสว่าง สดใส และสีไม่จางจากการซัก  การค้นพบของ Perkin ทำให้วิชาเคมี เป็นสาขาที่สร้างรายได้ขึ้นมา  เขาได้สร้างแรงจูงใจให้คนในสมัยนั้นหันมาสนใจวิชาเคมีมากยิ่งขึ้น หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับ
แรงบันดาลใจจาก Perkin ก็คือ นักบัคเตรี (Bacteriologist) ชาวเยอรมันท่านหนึ่งที่ชื่อว่า Pual Ehrlich ซึ่งเป็นผู้บุกเบิก ศาสตร์ทางด้านภูมิคุ้มกันวิทยา (immunology) และเคมีบำบัด (chemotherapy)

อันดับที่ 4 กัมมันตภาพรังสี (Radioactivity)
เมื่อปี พ.ศ. 2439 นักฟิสิกส์ชื่อ Henri Becquerel มี ความสนใจกับสิ่งสองสิ่งนั่นก็คือ การเรืองแสงตามธรรมชาติ (natural fluorescence) และความแปลกใหม่ของรังสี X-ray  เขาได้ทำการ ทดลองอย่างต่อเนื่องเพื่อทดสอบว่าถ้าแร่ธาตุที่เรืองแสงตาม ธรรมชาติเมื่อถูกปล่อยทิ้งไว้ภายใต้แสงแดดจะสามารถผลิตรังสี X-rays ได้หรือไม่  Becquerel ได้ทำการทดลองในช่วงฤดูหนาว แต่มีปัญหาเกิดขึ้นคือ ในระหว่างการทดลองนั้นมีอยู่สัปดาห์หนึ่ง  โดยมัดเข้าด้วยกันแล้วเก็บไว้ในลิ้นชักเพื่อรอวันที่มีแสงอาทิตย์ เพียงพอที่จะทำการทดลองต่อ  หลังจากนั้นเขากลับมายังห้อง ทำงานของเขาและได้พบว่า ได้เกิดรอยพิมพ์ของก้อนหินยูเรเนียม (Uranium rock) ปรากฏอยู่บนแผ่นถ่ายภาพ (photographic plate) ที่ถูกทิ้งไว้ด้วยกันในลิ้นชักโดยที่ไม่ได้รับแสงอาทิตย์ มาก่อน  ซึ่ง Becquerel คาดว่าน่าจะมีบางสิ่งที่พิเศษอยู่ใน หินก้อนนั้น  หลังจากการทำงานร่วมกับ Marie และ Pierre Curie เขาจึงได้ค้นพบว่า สิ่งนั้นก็คือสารกัมมันตภาพรังสีนั่นเอง


อันดับที่ 5 พลาสติก
เมื่อปี พ.ศ. 2450 มีการใช้สาร shellac เพื่อเป็นฉนวนใน เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ แต่เนื่องจากการใช้สาร shellac มีราคาแพง ทำให้ต้นทุนการผลิตเครื่องอิเล็กทรอนิกส์สูงตามไปด้วย เพราะต้องนำเข้าสาร shellac ที่ได้จากสารคัดหลั่งของแมลงครั่ง จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ดังนั้นจึงนักเคมีชื่อ Leo Hendrik Baekeland คิดว่าหากเขาสามารถผลิตสารทางเลือกอื่นที่มี คุณสมบัติคล้ายสาร shellac เขาจะได้กำไรมหาศาลจากสารที่ เขาค้นพบ  แต่การทดลองของ Baekeland กลับได้วัสดุที่สามารถ พิมพ์ขึ้นรูปได้ และสามารถทนความร้อนได้สูงโดยไม่บิดงอ เรียกว่า “Bakelite”  Baekeland คิดว่า Bakelite ที่คิดค้นได้นี้จะ        ถูกนำไปใช้ในการบันทึกในเครื่องเสียง  แต่ต่อมาอีกไม่นานได้มี การนำสาร Bakelite ไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆอีกมากมาย  ซึ่งพลาสติกที่ใช้กันในทุกวันนี้ก็ได้มาจากสาร Bakelite 

อันดับที่ 6  ยางวัลคาไนซ์ (Vulcanized Rubber)
Charls Goodyear ได้ใช้ความพยายามนานนับ 10 ปี  ในการค้นหาวิธีการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติยางให้ง่ายต่อการใช้งาน โดยคุณสมบัติยางที่ต้องการ คือ ต้องทนต่อความร้อนและความเย็น แต่เขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนคุณสมบัติของยางให้เป็นตามที่ต้องการได้ จนกระทั่งวันหนึ่ง Goodyear ได้ทำส่วนผสมของยาง กำมะถัน และ ตะกั่วหกลงไปในเตาที่กำลังร้อนอยู่ ทำให้ส่วนผสมทั้งสามหลอม รวมกันและไหม้เกรียมเป็นสีดำ เมื่อ Goodyear หยิบสิ่งที่เกิดขึ้น มานั้นมาสังเกตุดูเห็นว่ามีความแข็งแรงแต่น่าจะนำมาประยุกต์ใช้งานได้  หลังจากการค้นพบยางวัลคาไนซ์โดยบังเอิญของ Goodyear ปัจจุบันนี้มีการนำยางชนิดนี้มาใช้อย่างแพร่หลาย เช่น ยางรถยนต์ และรองเท้า

อันดับที่ 7  เทฟลอน (Teflon)
กลับไปเมื่อช่วงปี พ.ศ. 2473 มีนักเคมีหนุ่มของบริษัท DuPont ชื่อ Roy Plunkett กำลังทำวิจัยเพื่อผลิตสาร CFC (Chlorofluorocarbons) เพื่อใช้เป็นสารทำความเย็น (refrigerant)  โดย Plunkett กล่าวว่า เขามีทฤษฎีที่เชื่อว่าการนำสารประกอบ ชื่อว่า TFE (tetrafluoroethylene) ทำปฏิกริยากับกรด hydrochloric ก็จะได้เป็นสารทำความเย็นขึ้น  ดังนั้น Plunkett จึงได้ ทำการทดลองบรรจุแก๊ส TFE ใส่ในกระป๋องที่เย็นและมีความดันสูง  จากนั้นเติมกรด hydrochloric เข้าไปในกระป๋อง แต่เมื่อ Plunkett เปิดกระป๋อง แต่เขากลับพบว่าไม่มีแก๊สอะไรออกมาจากกระป๋อง แล้วแก๊สเหล่านั้นหายไปไหน  เมื่อ Plunkett เขย่ากระป๋องก็มี เกล็ดเล็กๆสีขาวๆหลุดออกมา  Plunkett จึงได้ส่งเกล็ดเล็กๆ เหล่านี้ไปให้นักวิทยาศาสตร์ท่านอื่นที่ DuPont ไปศึกษาต่อ  ซึ่งต่อมาได้นำสารนี้มาใช้เป็นผลิตภัณฑ์ที่เคลือบเทฟลอนมาก มายในปัจจุบัน
   

อันดับที่ 8  เครื่องดื่มโค้ก
ไม่มีผลิตภัณฑ์อาหารชนิดไหนประสบความสำเร็จเท่ากับ ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มโค้ก  เภสัชกร ชื่อ John Pemberton จากเมือง Atlanta พยายามค้นหาตัวยาที่ใช้รักษาอาการปวดหัว เขาได้ทำการ ผสมส่วนผสมต่างๆเข้าด้วยกัน (ซึ่งยังคงถูกปกปิดเป็นความลับ มาจนถึงวันนี้)  และผลิตภัณฑ์ของเขาได้วางขายในร้านขายยา และใชเ้วลาเพียงแค่ 8 ปีเท่านั้น และหลังจากนั้นยาของเขา ก็กลายเป็นเครื่องดื่มบรรจุขวดที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก


อันดับที่ 9  Smart Dust
Jamie Link เป็นนักศึกษาระดับปริญญาเอก สาขาวิชา เคมี ที่ University of California อยู่นั้น หนึ่งในชิปซิลิกอน (Silicon chips) ได้เกิดระเบิดขึ้น จากการระเบิดครั้งนี้ Link ได้ค้นพบ ว่ามีชิ้นส่วนชิ้นเล็กๆอยู่หลายชิ้นที่ยังคงทำหน้าที่เป็นตัวเซ็นเซอร์ จากผลการค้นพบ Smart dust โดยบังเอิญของ Link ทำให้เขา ได้รับรางวัลสูงสุดจาก Collegiate Inventors Competition ในปี ค.ศ. 2003 โดยเซ็นเซอร์นี้สามารถใช้ตรวจสอบความบริสุทธิ์ ของน้ำดื่มหรือน้ำทะเล ตรวจจับสารเคมีที่เป็นอันตรายหรือสารต่างๆ ที่ส่งผลทางชีวภาพในอากาศ หรือแม้แต่การระบุตำแหน่งหรือ การทำลายเซลล์เนื้องอกภายในร่างกายได้

อันดับที่ 10 สารซัคการีน (Saccharin)
Saccharin เป็นสารให้ความหวานที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์ สีชมพู  การค้นพบเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2422 โดยนักเคมีชื่อ Constantin Fahlberg ความบังเอิญนี้เกิดจากการที่ Fahlberg ไม่ได้ล้างมือ หลังจากเสร็จสิ้นการทำงาน หลังจากที่เขากลับมาบ้านและ รับประทานอาหารร่วมกับภรรยาตามปกติ  เขาได้ม้วนขนมปังและ รับประทานขนมปังนั้น   เขารู้สึกว่าขนมปังที่เขารับประทานมี รสหวาน  Fahlberg จึงสอบถามภรรยาว่าได้ใส่อะไรเข้าไปใน ขนมปังหรือเปล่า ภรรยาตอบว่าไม่ได้ใส่อะไรเข้าไปเป็นพิเศษ เขาจึงคิดว่าความหวานนั้นอาจมาจากมือของเขาที่ไม่ได้ทำความสะอาดก่อนรับประทานอาหารนั่นเอง  ในวันต่อมา Fahlberg กลับมายังห้องทดลองของเขาแล้วเริ่มชิมสารต่างๆจนพบสารให้ความหวานที่เรียกว่า Saccharin ขึ้น

Credit : board.postjung.com

รู้หรือไม่?

0 ความคิดเห็น

ชุดที่ 1 - เรื่องจริงเกี่ยวกับสุขภาพชวนอึ้ง

1. กิน หวาน มากทำให้ผิวเหี่ยว จริงหรือ
จริง เพราะ เมื่อร่างกายมีน้ำตาล อยู่ ในกระแสเลือดมากเกินไป มันจะไปเกาะติดกับเส้นใยโปรตีนที่อยู่ระหว่างเซลล์ผิว ทำให้เกิดภาวะผิวเครียดขึ้น และนำไปสู่อาการแก่ก่อนวัย ผิวหยาบกร้าน และเหี่ยวย่นในที่สุด

2. การยืนเอาปลาย นิ้ว มือแตะปลายนิ้วเท้าจะทำให้ผิวหน้าดูสดใส จริงหรือ
จริง โดยการยืนเอาปลายนิ้วมือแตะปลายนิ้วเท้า ก้มตัวต่ำๆ ค้างไว้นับ 1-30 แล้วค่อยๆ ยืนขึ้นจะทำให้โลหิตบริเวณหนังศีรษะ และใบหน้าหมุนเวียนได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลกระทบให้ผิวหน้าดูสดใสขึ้น

3. เอาน้ำแข็งถูหน้า ก่อนนอนจะทำให้หายมันได้ จริงหรือ
ไม่จริง แต่แก้ปัญหาหน้ามันได้โดยการใช้น้ำเมือกว่านหางจระเข้ทาหน้าให้ทั่วใบหน้า ทาแล้วไม่ต้องล้างออก น้ำเมือกจะ แห้งไปเองภายใน ๕ - ๑๐ นาที ทำก่อนนอน แค่นี่หน้าก็จะหายมัน

4. การสวมเสื้อผ้าหนาๆ  เพื่อให้เหงื่อออกเยอะๆ จะทำให้ผอมเร็วจริงหรือ
ไม่จริง การที่เหงื่อออกเยอะคือ ภาวะที่ร่างกายโดนความร้อนแล้วระบายความร้อนออกมา ไม่ใช่การเผาผลาญไขมันออกมา เพราะฉะนั้นพอเราดื่มน้ำเข้าไป น้ำหนักก็จะเท่า เดิม

5. คนผิวแห้งมีโอกาส เกิดริ้วรอยกว่าคนผิวมัน จริงหรือ
จริง เพราะคนผิวแห้งขาด ซีบัม หรือสารไขมัน ทำให้กลไกลการปกป้องตนเองของผิวหนังทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร เพราะ ฉะนั้น คนผิวแห้งควรดูแล และทาครีมบำรุงเพื่อความชุ่มชื่นแก่ผิวพิเศษกว่าคนผิวมัน

6. การฝึกกลั้นหายใจ สามารถชะลอหน้าแก่ก่อนวัยได้ จริงหรือ
จริง โดยการหายใจออกทางปากอย่างช้าๆ จนสุดลม แล้วหายใจเข้าทางจมูกอย่างช้าๆ ให้เต็มปอด กลั้นไว้ระยะหนึ่ง แล้วจึง หายใจออกอย่างช้าๆ ทำแบบนี้วันละ 2 ครั้งๆ ละ 20 นาที จะช่วยชะลอผิวแก่ก่อนวัย และรอยคล้ำ ได้

7. การร้องไห้ช่วยลดความอ้วนได้ จริงหรือ
ไม่จริง แต่การหัวเราะต่างหากที่ช่วยเผาผลาญแคลอรีให้หมดไปได้ดีกว่าอยู่เฉยๆ ได้มากถึง 20% ซึ่งหากได้หัวเราะวันละสัก 10 -15 นาที จะช่วยเผาผลาญพลังงานลงได้มากถึง 50 แคลอรี

8. กาวตราช้างใช้ รักษาส้นเท้าแตกได้ จริงหรือ
จริง เพราะเมื่อปิดหนังที่แตกด้วยกาวตราช้าง สิ่งสกปรกจะเข้าไปในรอยแตกไม่ได้ ผิวจะไม่ถูกรบกวน จึงมีการซ่อมแซมตนเองขึ้นมา มีการสร้างเซลล์ใหม่ และผลัดเซลล์เก่าออก กาวช้างก็จะหลุดออกไป แต่ห้ามใช้กับคนที่แพ้กาวตราช้าง

9. การเต้นรำทำให้ผิวสวยได้ จริงหรือ
จริง เพราะ การเต้นรำเพียงวัน ละ 20 นาที ช่วยเผาผลาญแคลอรี กระตุ้นระบบการหายใจ และระบบหมุนเวียนโลหิต ทำให้เลือดลมเดินทั่วผิว ทำให้ผิวสวยมีสุขภาพ ดี

10. การใส่กระโปรงสั้นในห้องแอร์เป็นประจำทำให้ขาใหญ่ได้ จริงหรือ
จริง เพราะช่วงขาส่วนที่อยู่นอกกระโปรง จะเกิดการสะสมไขมันเป็นพิเศษ เพื่อให้เข้ากับสภาพอากาศ โดยเฉพาะเมื่อผิวหนังเจอความหนาวเย็น ทำให้เกิดเซลลูไลท์

ชุดที่ 2 - รู้ไว้ใช่ว่า

1. การแลบลิ้นให้น้ำลายยืดลงพื้น 3 หยด จะแก้เผ็ดได้ จริงหรือ
จริง อาการเผ็ดเกิดจากสารที่ชื่อ แคปไซซิน ที่อยู่ในพริก เข้าไปจับกับปลายประสาทรับรสที่ลิ้น ร่างกายจะก็จะแสดงปฎิกริยาโดบขับน้ำลายออกมาชะล้างเอาเจ้าสารนี้ออกไป

2. ดูดนมยางของเด็กทารกตอนนอน จะแก้อาการนอนกรนได้ จริงหรือ
จริง การคาบหรืออมนมยางของเด็กทารกไว้ในปาก จะทำให้ลิ้นในปากอยู่นิ่ง ก็จะพลอยให้เนื้อเยื่อของเพดานไม่กระเทือน สั่นไหวขึ้น จึงไม่เกิดอาการกรน และไม่นอนอ้าปากอีกด้วย

3. การสูดกลิ่นตัวผู้ชาย ทำให้หายเครียดได้ จริงหรือ
จริง เพราะกลิ่นตัวผู้ชายที่เป็นคนรักนั้นมีสารฟีโรโมนผสมอยู่ โดยเฉพาะในผมและผิวของเขา เมื่อสูดดมแล้วจะช่วยลด อาการเครียดและเหนื่อยล้าลงได้

4. ปัสสาวะมนุษย์ ใช้ทำยาสีฟันในสมัยโบราณ จริงหรือ
จริง โดยแพทย์ชาวโรมันเชื่อว่า ปัสสาวะมนุษย์มีคุณสมบัติทำให้ฟันขาวและแข็งแรง ยาสีฟันในยุคดังกล่าว จึงเป็นน้ำยาบ้วนปากที่ทำจากปัสสาวะมนุษย์

5. การทะเลาะกันทำให้แผลหายช้า จริงหรือ
จริง เพราะ ความเครียดที่เกิดขึ้น ทั้งระหว่างและหลังจากการทะเลาะกัน จะส่งผลให้ร่างกายลดการผลิตโปรตีนเม็ดเลือด ที่มีประโยชน์ต่อการรักษาบาดแผล หรือส่วนที่สึกหรอในร่างกายให้น้อยลง ทำให้บาดแผลต่างๆ หายช้า

6. แสงแดด อ่อนๆ ช่วยป้องกันโรคซึมเศร้าได้ จริงหรือ
จริง เพราะแสงแดดอ่อนๆ จะช่วยลดการสร้างฮอร์โมนเมลาโตนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมการนอนหลับ ถ้าหากเก็บตัวอยู่ แต่ในที่มืดจะทำให้ฮอร์โมนตัวนี้สูงขึ้น และอาจส่งผลให้เกิดการง่วงเหงา ซึมเซา ได้

7. การฟังเพลง ช่วยบรรเทาอาการปวดข้อได้ จริงหรือ
จริง เพราะการฟังเพลงทำให้สมอง หลั่งสารเอนดอร์ฟินส์ ซึ่งเป็นฮอร์โมนสร้างความสุขออกมา ช่วยลดความดันโลหิต และ บรรเทาอาการปวดข้อลงได้

ชุดที่ 3 - กินเพื่อสุขภาพ

1. กินน้ำมะนาวปั่น สามารถแก้อาการเมาค้างได้ จริงหรือ
ไม่จริง แต่แก้อาการเมาค้างได้โดยการดื่มน้ำกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง เพราะกล้วยจะทำให้กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำ ผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไป ในขณะที่นมก็ช่วยปรับระดับของเหลวในร่างกายของเรา ทำให้อาการเมาหายไป ได้

2. เมื่อเป็นไข้ ไม่ควรกินฝรั่ง จริงหรือ
จริง เพราะในฝรั่งมีแร่โพแทสเซียมสูง เมื่อเวลาเป็นไข้ร่างกายจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น การกินอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง จะส่งผลให้เกิดอาการชักได้

3. มันฝรั่งช่วยลดความดันโลหิตให้ต่ำลงได้ จริงหรือ
จริง เพราะในมันฝรั่งมีสารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่ชื่อว่า คูคัวไมน์ส มีสรรพคุณในการควบคุมความดันโลหิตให้ต่ำลง และมันยังรักษาโรคที่ลึกลับที่เรียกว่า โรคนอนหลับ ได้อีกด้วย

4. ดื่มนมร้อนก่อนนอนจะช่วยกระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้ จริง หรือ
ไม่จริง แต่การดื่มนมร้อนก่อนนอนจะช่วยให้นอนหลับสบายยิ่งขึ้น เพราะนมร้อนจะส่งเสริมให้สมองหลั่งสาร

5. การเคี้ยวหมาก ฝรั่งช่วยเพิ่มฮอร์โมนเพศชายได้ จริงหรือ
ไม่จริง แต่การเคี่ยวหมากฝรั่งช่วยให้คนไข้ผ่าตัดลำไส้ใหญ่หายเร็วขึ้น เพราะการเคี้ยวหมากฝรั่งหลังการผ่าตัด เป็น การ บริหารให้ลำไส้กลับมาทำงานตามปกติได้เร็วขึ้น คนไข้จะไม่เกิดอาการลำไส้อืด ซึ่งทำให้ปวดท้องและท้องอืด หลังจากที่ต้องหยุดทำงานไปพักหนึ่ง

6. การกินเนยก่อนนอน ทำให้นอนหลับสนิทขึ้น จริงหรือ
จริง เพราะในเนยมีกรดอมิโน ที่มีชื่อว่า ทริปโตพัน ซึ่งมีสรรพคุณช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย และสะกดให้หลับได้สนิทดีขึ้น

7. กินส้ม ช่วยแก้อาการเซ็งได้ จริงหรือ
จริง การรับประทานส้มโดยปอกเปลือกเอง จะมีกลิ่นส้มที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย และวิตามินซีที่ร่างกายได้รับในจำนวน ที่ เพียงพอ ช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้คลายความเครียดลงได้ดีออกมา ด้วย

8. การกินช็อคโกแล๊ต ช่วยแก้ไอได้ จริงหรือ
จริง เพราะ โกโก้ที่ใช้ทำช็อคโกแล๊ตมีสารที่ชื่อว่าธีโอโบรไมน์ จะไปออกฤทธิ์ที่เส้นประสาทชื่อ เวกัสเนอร์ฟ ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการไอ ทำให้สามารถหยุดอาการไอเรื้อรังอย่างได้ ผล

9. การกินบ๊วยช่วยเพิ่มกำลังได้ จริงหรือ
จริง เพราะ การที่คนเรามีอาการเหนื่อย อ่อนเพลีย เพราะกรดในเลือดสูง ร่างกายไม่สามารถปรับดุลความเป็นด่างได้ทัน แต่บ๊วยมีความเป็นด่าง Ph 7.35 ใกล้เคียงกับเลือดคนเรา จึงช่วยถ่วงดุลความเป็นด่างได้ และยังมีโปรตีน เกลือแร่ และสารอาหารจำเป็นอยู่มาก อีกด้วย

10. การกินอาหารมื้อเช้าช่วยป้องกันความจำเสื่อมได้ จริง หรือ
จริง เพราะเลือดตอนเช้าจะแข็งตัวง่ายกว่าปกติ จึงมีโอกาสที่หลอดเลือดอุดตันมากขึ้น สารอาหารไปเลี้ยงสมองได้น้อยลง สมองจึงค่อยๆ เสื่อม

Credit : www.dek-d.com

มีไปทำไม

0 ความคิดเห็น


บทความเตือนสติ คติเตือนใจอีกบท ที่ไปเจอมาทางอินเตอร์เน็ต เกี่ยวกับการ “มี” มีไปทำไม ถ้าไม่ได้ใช้ จึงเกิดความไม่พอดีขึ้นในชีวิต ลองอ่านกันดูครับ


มีไปทำไม


มีเงินนับแสนล้าน แต่ใช้จริงวันละไม่ถึงร้อย
มีบ้านใหญ่โตอย่างกับวัง แต่อยู่กันแค่ 4 คน พ่อแม่ลูก
มีรถนับสิบสิบคัน แต่ใช้งานจริงแค่คันเดียว
มีเตียงใหญ่โตมโหฬาร แต่นอนเพียงแค่เต็มแผ่นหลัง
มีนาฬิกาแสนแพง แต่ไม่เคยทำอะไรตรงเวลา
มีเวลาอยู่ในโลกไม่ถึงร้อยปี แต่กลับแบ่งเวลาไปริษยาคนอื่น
มีกฏหมายนับพันมาตรา แต่มีอาชญากรอยู่เต็มเมือง
มี ส.ส. อยู่เต็มสภาพ แต่มาประชุมไม่เคยครบเลย
มีพ่อแม่อยู่ที่บ้าน แต่ไม่เคยปรนิบัติท่านเลย
มีอำนาจอยู่เต็มมือ แต่ไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรเลย
มีภรรยาแสนดี แต่ไม่เคยแบ่งเวลาให้เธอเลย
มีลูกแสนน่ารัก แต่ไม่เคยโอบกอดลูกเลย
มีพระไตรปิฏกอยู่เต็มตู้ แต่ไม่เคยเปิดออกมาศึกษาเลย
มีวัดอยู่แทบทุกหมู่บ้าน แต่ศีลธรรมของสังคมแย่ลงทุกวัน
มีรองเท้าเป็นพันคู่ แต่ใส่จริงแค่วันละคู่
มีพี่น้องนับ สิบคน แต่แตกสามัคคีกันทุกคน
มีมือมีเท้าสมบูรณ์ แต่ไม่เคยลงแรงทำอะไรเลย
มีหูอยู่สองข้าง แต่ไม่เคยฟังธรรมเลย
มีตาอยู่สองข้าง แต่ไม่เคยมองหาสิ่งที่ดีเลย
มีเท้าอยู่สองข้าง แต่ไม่เคยเดินเข้าหาโอกาสเลย
มีปัญญาอยู่กับตัว แต่กลับใช้อารมณ์เป็นใหญ่

จะเห็นได้ว่าหลายสิ่ง แม้มีเราก็ไม่ได้ใช้ หลายสิ่ง แม้มีเราก็ไม่เห็นคุณค่า บทความนี้คงทำให้หลายคนฉุกคิดได้ว่าจะทำอย่างไรกับสิ่งที่ “มี”

Credit :  happyhappiness.monkiezgrove.com

เห็นแก่ตัว

0 ความคิดเห็น


หนอนกินผัก
สนัขกัดรองเท้า
เป็นความเห็นแก่ตัวหรือ
ถ้ามันไม่รู้ว่าสิ่งที่มันทำนั้นผิด
ปลากัดกินลูกน้ำ
กาฝากเกาะกิ่งไม้
เป็นความเห็นแก่ตัวหรือ
ถ้ามันมีโอกาสเลือกได้ มันจะทำเช่นนั้นหรือ
ชาวนาถอนหญ้าในนาข้าว
ข้าศึกประหัตประหารกันในสมรภูมิ
นี่ก็เรียกว่าความเห็นแก่ตัวหรือ
ถ้าหน้าที่ไม่บังคับ เขาก็คงหลีกเลี่ยงแล้ว
กระทำเถิดถ้ามันจำเป็นต้องกระทำ
เพื่อความอยู่รอดของชีวิตเฉพาะหน้า
จงเป็นปรกติสุขเถิด
ถ้ามิได้กระทำเกินกว่า ความจำเป็น

มีแค่คนซึ่งไม่เข้าใจตนเองเท่านั้น
ที่พยายามทำให้ผู้อื่นเข้าใจตน

Credit : happyhappiness.monkiezgrove.com

"2+2=5" จงเชื่อฟัง

0 ความคิดเห็น

ภาพยนตร์เรื่องนี้ ปรากฏอยู่บนหน้าวอลล์ของคนดังคนหนึ่ง

เขาหรือเธอเป็นใครไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ แต่สิ่งที่น่าสนใจและชวนให้คิดเมื่อดูหนังสั้นเรื่องนี้จบเป็นสิ่งที่เราในฐานะผู้ชม น่าจะเก็บไปขบคิด


_______________


เหตุการณ์เกิดขึ้นที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในชั้นเรียนสมมุติ

ห้องเรียนสีทึม  บรรยากาศชวนให้อึดอัด

ครูหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง พร้อมการประกาศผ่านเสียงตามสาย ที่ระบุว่า จะการเปลี่ยนแปลงบางเกิดขึ้นในโรงเรียน และย้ำให้ตั้งใจและ"เชื่อฟัง"ในสิ่งที่ครูบอก





ก่อนจดชอล์คลงบนกระดานดำว่า "2 + 2 = 5" พร้อมทั้งย้ำให้นักเรียนทั้งชั้นพูดตามว่า "สอง บวก สอง เท่ากับ ห้า" ซ้ำแล้วซ้ำอีก

แน่นอนว่าในความเป็นจริง 2+2 ก็ย่อมเท่ากับ 4

นักเรียนคนหนึ่งลุกขึ้น และกล่าวแย้งว่า ผลของมันควรจะเป็น 4 ไม่ใช่ 5

ครูตอบอย่างหงุดหงิดว่า "ไม่ต้องคิด คุณไม่จำเป็นต้องคิด" ก่อนที่จะถูกสั่งให้นั่งเรียนอย่างสงบ

เรื่องราวไม่ได้จบแค่นี้ นักเรียนอีกคนหนึ่งลุกขึ้นมา และย้ำคำตอบเดิมว่า 2+2 อย่างไรก็ต้องเท่ากับคำว่า 4
แน่นอนว่า นี่ได้สร้างความโกรธเกรี้ยวให้แก่ครูอย่างมาก ผลที่ตามมาเราคงไม่ต้องคาดเดา ว่าผู้ที่ไม่เชื่อครูจะเป็นอย่างไร

ตัวหนังเล่าผ่านบริบทง่ายๆ คือเหตุการณ์ปกติที่เกิดขึ้นในห้องเรียน ครู นักเรียน และบทเรียน แต่ถูกแต่งเติมด้วยความเหนือจริงในบางช่วง ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า "ความเหนือจริง"ในความคิดของคนบางกลุ่ม อาจแปลงรูปไปเป็น"ความเป็นจริง" ในคนบางกลุ่มหรือบางเหตุการณ์





แน่นอนว่าครูในเรื่องนี้  คือผู้มีอำนาจสูงสุดในห้องเรียน ย่อมมีสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจในทุกเรื่อง ผิด-ถูกหรือไม่ อาจไม่ใช่ประเด็น  สิ่งที่เรามองเห็นก็คือ การใช้"อำนาจ"ที่มี อยู่ เพื่อสร้าง ความจริง ขึ้นจาก ความลวง
นักเรียนที่คิดตาม ก็ย่อมรู้ดีว่า บางสิ่งที่ถูกสอน มิได้เป็นความจริงเสมอไป การกล่าวแย้ง จึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ใน"ห้องเรียนปกติ"

แต่เมื่อเหตุการณ์เกิดในห้องเรียน"ที่ไม่ปกติ" การโต้แย้ง ย่อมกลายเป็นการแสดงความเป็น"ปฏิปักษ์"
ปฏิปักษ์ ผู้อ่อนน้อมหรือรักตัวกลัวตาย ก็ย่อมโอนอ่อนไปตามเสียงข่มขู่ แต่ผู้ที่ยังยืนกรานในสิ่งที่ตนเชื่อ "จุดจบ"ย่อมเป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้เสมอ

แล้วเราจะสามารถยืนหยัดเพื่อความจริง เพื่อคงไว้ซึ่งจิตวิญญาณของเรา ภายใต้อำนาจเผด็จการได้อย่างไร? ยังคงเป็นคำตอบสำหรับคนในหลายประเทศของโลกที่ต้องตามหากันต่อไป


_______________


"Two And Two" เป็นภาพยนตร์สั้น ผลงานกำกับโดย บาบัค อันวารี ผู้กำกับชาวอิหร่านที่อาศัยในอังกฤษ ออกฉายเมื่อปี 2011  ได้รับเกียรติให้ฉายในเทศกาลภาพยนตร์ต่างๆ อาทิ เทศกาลภาพยนตร์เรนแดนซ์ และเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติฟอยล์ โดยเมื่อต้นปี 2012 หนังได้รับการเสนอชื่อให้เข้าชิงในสาขาภาพยนตร์ขนาดสั้นยอดเยี่ยม รางวัลบาฟต้า หรือเทียบเท่ารางวัลออสการ์ของสหรัฐฯ

อันวารีกล่าวว่า หนังมีความทรงพลังในระดับหนึ่ง และส่งผลต่อผู้ชมในหลายทาง ไม่ว่าจะในแง่ความล่อแหลม หรือปลุกความคิด หรือกระทั่งเพื่อความบันเทิง จึงเห็นได้ชัดว่า หนังคือหนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญ ในการนำสารความสัมพันธ์ทางสังคม ผ่านทางภาพเคลื่อนไหว


เขากล่าวว่า ได้รับแรงบันดาลใจจากการลุกฮือของประชาชนที่เกิดขึ้นทั่วโลกในหลายประเทศ ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา จึงเกิดไอเดียและปรึกษากับเกวิน คัลเลน ซึ่งเคยร่วมเขียนบทหนังสั้นที่ยังไม่เคยถูกสร้างเป็นหนังด้วยกัน ว่าเขาสนใจในการพัฒนาบทต่อไปหรือไม่ และหลังจากที่เขียนบทเสร็จเรียบร้อย เขาจึงไปขอความช่วยเหลือจาก คิท เฟรเซอร์  เพื่อนและช่างภาพฝีมือดี ให้มาช่วยถ่ายภาพให้  คิทแสดงความสนใจและไม่ลังเลที่จะช่วยเหลือเขาเพื่อให้หนังเรื่องนี้เกิดขึ้น

อันวารีต้องตามหาโปรดิวเซอร์อยู่พักหนึ่ง แต่ก็ไม่พบใครที่จะช่วยทำให้หนังเรื่องนี้เกิดขึ้นได้ เขากับเพื่อนๆจึงร่วมกันเป็นโปรดิวเซอร์เสียเอง แม้จะมีอุปสรรคมากมาย  เงินทุนที่ค่อนข้างจำกัดที่ทำให้ต้องคำนวณค่าใช้จ่ายกันอย่างรอบคอบ  แต่สิ่งที่ยากที่สุดคือการหาเด็กๆที่พูดภาษาฟาร์ซี (ภาษาเปอร์เซีย) เนื่องจากต้องการทำหนังที่พูดภาษาเปอร์เซียตลอดทั้งเรื่อง เนื่องจากเขาต้องการให้หนังดูมีความสมจริงที่สุด แม้ว่าตัวหนังเองจะมีองค์ประกอบเหนือจริงอยู่มากก็ตาม

เขาไม่สามารถหานักแสดงเด็กอิหร่านที่มีประสบการณ์ที่โรงเรียนการแสดงได้ เขาจึงตัดสินใจที่จะตรวจสอบกับชุมชนชาวอิหร่านในอังกฤษ เพื่อดูว่ามีใครที่สนใจบ้าง แต่หลังจากผ่านขั้นตอนต่างๆ เราก็ได้นักแสดงเด็กในที่สุด เด็กๆทุกคนในหนังล้วนแต่เป็นนักแสดงหน้าใหม่ทั้งสิ้น แต่พวกเขาก็ทำงานได้ดีมาก





Credit : www.matichon.co.th

10 อันดับ ปริศนาของโลก

0 ความคิดเห็น



อันดับ 10 : กะโหลกแก้ว 

ปริศนาจากชาวมายัน กุญแจที่จะไขทุกคำตอบในโลกของเรา กะโหลกแก้วคริสตัลลึกลับ 5 ใน 13 ทั้งหมดที่ถูกค้นพบ ถูกปลุกฟื้นตำนานเรื่องเล่า ความเป็นไปของมนุษย์จากอดีตกาลสู่ภพหน้า แหล่งบรรจุสรรพสิ่งดั่งคำทำนาย บัดนี้ยังคลุมเครือ ท่ามกลางความสงสัยเกี่ยวกับวิวัฒนาการ และเทคโนโลยีในอดีตไม่น่าเชื่อว่ากะโหลกแก้วจะสร้างขึ้นเองได้ หากเป็นความจริงอันชวนตะลึง!ดั่งคำสันนิษฐานจากกะโหลกแก้วที่ค้นพบข้อมูลในนั้นจะเป็นตัวกลางเชื่อมต่อระหว่างคนอดีตสู่ คนยุคปัจจุบัน (ไปดูอินเดียน่าก็ได้มีเหมือนกัน)



อันดับ 9 : ภาพลายเส้นนาซคา

ลายเส้นพิศวงกับปริศนาจากภาพเหล่านี้ คือข้อกังขาของที่มาของเรื่องทั้งหมด รูปภาพสัตว์ขนาดใหญ่ สุนัข แมงมุม ปลาวาฬ ดอกไม้ ลิง เป็ดและนกกางปีกบนชายฝั่งทางใต้ของเปรู เป็นคำถามที่คนพื้นเมืองในอดีตสร้างขึ้นเพื่อผูกปมเรื่องให้ใคร่คิด บ้างเชื่อเรื่องทางเดินสู่แหล่งน้ำของชนเผ่าต่างๆ บ้างก็เชื่อมนุษย์ต่างดาวใช้สถานที่แห่งนี้ลงจอดยานบินหรือมันอาจเป็นส่วนหนึ่งของปฏิทินดาราศาสตร์ที่ซับซ้อน แม้จะหาข้อสรุปไม่ได้ สมมติฐานทั้งหมดก็ช่วยให้เราสนใจภาพวาดเหล่านั้นยิ่งขึ้น



อันดับ 8 : สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า

ความลึกลับ อาถรรพณ์ และเรื่องจริงที่เกิดขึ้นยังคงกล่าวขานถึงสู่หายนะกับสถานที่แห่งนี้ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า มฤตยูกลางมหาสมุทรแอตแลนติกเหตุการณ์ที่ไม่สามารถหาคำอธิบายได้ ความจริงที่เครื่องบิน เรือ ที่ผ่านบริเวณสามเหลี่ยมมรณะถูกดูดกลืนสูญหายไปอย่าง ไร้ร่องรอย โดยไม่ทราบสาเหตุ ทั้งที่สภาพอากาศ และทุกอย่างเป็นปกติ ไม่มีข้อสรุปคำตอบ หรือข้ออ้างให้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีเพียงแต่ปริศนาที่ยังค้างคาใจผู้คนจนถึงปัจจุบัน



อันดับ 7 : บพระบัญญัติศักดิ์สิทธิ์

คำตอบกับการเปิดทางสู่โลกพระเจ้า การค้นคว้าทางศาสนาครั้งยิ่งใหญ่ ปริศนาศิลาจารึกที่อยู่ข้างในบพระบัญญัติ คือ เครื่องมือติดต่อถึงพระเจ้าโดยตรง คำสอนศาสนา บทองคำ วัตถุศักดิ์สิทธิ์ ที่องค์พระศาสดาตระหนักรู้ อาจรอคอยช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการเปิดเผย แต่ยังไม่ใช่ในตอนนี้



อันดับ 6 : โอเรกอน วอร์เท็กซ์

พบกับสถานที่ที่ไม่ลึกลับแต่มันเป็นภาพลวงตาที่หาคำตอบไม่ได้ แนวแม่เหล็กที่ไขว้กันอยู่ใต้พื้นดิน สนามพลังผิดปกติ เมื่อคุณเข้าไปยืนในนั้นจะรู้สึก เหมือ นเป็นตัวประหลาด จุดที่แม่เหล็กไขว้ทับกัน คุณรู้สึกได้ถึงความกดดัน มันผลักกันและกันและหมุนรอบๆจนคุณทนไม่ไหว การยืด หรือหดตัวอย่างน่าใจหาย ไม่นับสถานที่แห่งนี้ยังมี โรงนาปริศนา ที่ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด ตัวของคุณจะเอียงลูกกอล์ฟกลิ้งขึ้นเนินเองได้ ไม้กวาดตั้งได้เอง จนคุณอยากออกจากประสบการณ์แปลกประหลาดเหล่านี้สู่โลกแห่งความจริงที่ทุกอย่างพิสูจน์ได้



อันดับ 5 : นักฆ่ารัดคอแห่งบอสตัน

คดีแห่งปริศนา ฆาตกรรมอำพราง เมื่อหลายปีก่อนถูกคลี่คลาย แต่เร็วๆนี้ถูกนำมาสอบสวนใหม่ ชนวนที่ฆาตกรที่จับได้จะใช่ฆาตกรตัวจริงหรือ? คดีที่โด่งดังไปทั่วอ่าวแบ็คเบย์ในบอสตัน นักฆ่าใจโหด ข่มขืนและฆ่ารัดคอผู้หญิง 11 คนตายในบ้านตัวเอง คดีนี้ปิดฉากไปโดยตัวผู้รับสารภาพ อัลเบิร์ต เดอซาลโว แต่ต่อมาคดีฆาตกรรมปริศนาเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น เมื่อครอบครัวของหญิง 1 ในผู้ตายพบหลักฐานที่ส่อพิรุธ การรื้อคดีเป็นได้แค่การบังหน้าของตำรวจไม่มีความรับผิดชอบใดใดเพิ่มมากขึ้น เดอซาลโว จะใช่ฆาตกรตัวจริงหรือเปล่า หรือว่านักฆ่าจอมโหดผู้นี้ยังคงลอยนวลต่อไป จนบัดนี้มันยังคงเป็นปริศนา ???



อันดับ 4 : สัตว์ประหลาดแห่งล็อกเนส

บนโลกนี้มีเรื่องให้พิสูจน์อีกมาก อย่างที่เรากำลังจะพาไปเยี่ยมเยือนสัตว์ประหลาดแห่งทะเลสาบล็อกเนสในสก็อตแลนด์ เรื่องเล่าที่โด่งดังเกี่ยวกับ สัตว์รูปร่างประหลาด เนสซี่ ตัวใหญ่ประมาณ 15 – 40 ฟุต มักโผล่ขึ้นมาให้เห็นเป็นครั้งคราว หลายคนสนใจติดตามจับภาพสัตว์ประหลาดตัวนี้ แล้วบางอย่างก็เป็นจริง มีภาพของวัตถุลึกลับเคลื่อนไหวอยู่ในทะเลสาบชื่อก้อง นี้แต่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นตัวอะไรกันแน่ ถึงอย่างไรคนหลายคน ต่างเชื่อว่า เนสซี่ สัตว์ประหลาดแห่งล็อกเนส มีรูปร่างคล้ายไดโนเสาร์ คอยาว มีครีบ นั้นมีอยู่จริง แต่เราจะได้เห็นหรือไม่คงต้องขึ้นอยู่กับตัวเนสซี่เอง



อันดับ 3 : คร็อพเซอร์เคิล

วงกลมประหลาด รูปร่างแปลกๆหลายรูป ที่ยังคงต้องการคำตอบเหตุแห่งการเกิด ชาวเมืองเอฟเบอรี่คุ้นเคยกับมันดี วงขนาดใหญ่ ยาวกว่า 200เมตร กว้างร่วม 40 เมตร เกิดกระจัดกระจายไปทั่วทุ่งนา นำความเสียหายปนความสงสัยให้กับเจ้าของที่นาบริเวณนั้นเป็นอย่างมาก มีทฤษฎีหลายทฤษฎีถูกตั้งขึ้นมาเพื่อตอบคำถามของ คร็อพ เซอร์เคิล มันอาจเป็นข้อความ หรือภาษาที่ใช้สื่อสารกันระหว่างมนุษย์ต่างดาว หรืออาจเป็นแค่วงกลมที่สร้างขึ้นมาเพื่อเรียกร้องความสนใจแค่นั้นเองก็ได้



อันดับ 2 : ยักษ์แห่งเกาะอีสเตอร์

เดินทางมาสัมผัสเกาะปริศนาที่โดดเดี่ยว เวิ้งว้างกลางมหาสมุทร รูปสลักหินลึกลับขนาดมหึมากว่า 800รูป เรียงรายเต็มฝั่งทั่วเกาะ ทั้งที่ไม่มีคนอยู่ รูปสลักนี้มาจากไหน? สร้างขึ้นได้อย่างไร?อาจเป็นชาวโพลีนีเชียนชนพื้นเมืองที่มาตั้งรกรากเมื่อ ค.ศ. 400 เป็นผู้สร้างขึ้น แต่ทำไมถึงสร้าง และอยู่บริเวณนี้ได้อย่างไรยังคงเป็นปริศนาดำมืด ด้วยวิวัฒนาการความรู้ของคนในสมัยอดีต เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะยกหินที่หนักกว่า 75 ตันมาไว้ตามชายฝั่งได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ถึงกระนั้นรูปปั้นเหล่านี้ก็ยังคงถูกทิ้งไว้เพื่อค้น หาคำตอบต่อไป



อันดับ 1 : แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์

มันคงเป็นปริศนาต่อไป และน่ากลัวกว่าที่คิดไว้เยอะ ปริศนาอันดับ 1 ที่ยังคงค้างคาใจเรา ฆาตกรต่อเนื่อง แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ อาชญากรระดับโลกที่ยังจับตัวไม่ได้ การสังหารอย่างโหดมของเหยื่อหลายรายติดๆกันถูกก ล่าวขานถึง ย่านอีสต์เอนด์ของลอนดอนสร้างชื่อกระฉ่อนถึงความน่าส ะพรึงกลัว ไม่เพียงแต่ไร้วี่แวว ของฆาตกร การพิสูจน์ หรือทดสอบด้านนิติวิทยาศาสตร์ยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร จึงไม่มีเหตุผล หรือหลักฐานหนักแน่นในการมัดฆาตกร จากคดีฆาตกรรมที่โด่งดัง ทำให้มีผู้ต้องสงสัยเกิดขึ้น มากมายหลักฐานสำคัญต่างๆ ถูกผุดขึ้นมาภายหลัง จะเป็นไปได้มั้ยที่จะสืบสาว
หาฆาตกรตัวจริงได้ แม้ฆาตกรคนนั้นคงไม่มีชีวิตอยู่ให้จับแล้วแต่ก็ยังดีที่ได้รู้ว่าฆาตกรตัวจริงผู้นั้นคือใคร ?

Credit : www.soizaa.com

อาการ เดจาวู

0 ความคิดเห็น


เคยเกิดอาการแปลกๆ บ้างไหม

อาการที่เหมือนกับตัวเองฝันไป แล้วฝันก็เป็นจริง
อาการที่เห็นภาพและอยู่ในเหตุการณ์ตลอดเวลา แล้วก็เป็นจริง
อาการเหมือนคนมาเตือนให้ระวังภัยและเตือนภัยแล้วก็เกิดขึ้น
อาการเหมือนตกหลุมรักโดยฉับพลัน...คนนี้ใช่เลย
อาการที่คล้ายกับเคยพบเห็น เคยอยู่ในสถานที่ต่างๆ ทั้งที่ไม่เคยไปมาก่อน

นั่นแหละค่ะ เรียกว่าอาการ เดจาวู

ตัวอย่างเหตุการณ์

อับบราฮับ ลินคอร์น ก็เคยเห็นเดจาวู เขาเห็นว่าตนจะโดนลอบสังหารและไม่มีใครหยุดได้ ก่อนนอนเขาได้กล่าวอำลากับทหารที่รักษาการนอกห้องประธานาธิบดีว่า ลาก่อนเราคงไม่ได้เจอคุณอีกแล้ว หลังจากนั้น เขาก็โดนลอบยิงเข้าที่หน้าอกเสียชีวิตทันที

บางคนรู้สึกว่าตนนั่งรถทัวร์กลับต่างจังหวัดตอนดึก ระหว่างทางเห็นอุบัติเหตุข้างทาง แล้วก็ผ่านไป สักพักก็เห็นอีก เห็นอยู่เรื่อย ที่สำคัญเป็นรถคันเดิม คนเดิม บางทีกำลังหันมามองเขาด้วย โดยที่ไม่ใช่ฝันแน่นอน พอรู้สึกตัวอีกที รถจอด ปรากฏว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเหมือนที่เคยเห็น

มนุษย์ในบางครั้งมีความรู้สึกว่า ตนเองเคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาแล้ว แต่จำไม่ได้ว่าในฝันหรือในอดีต เช่น ไปเที่ยวต่างจังหวัดที่ไม่เคยไปมาก่อน เดินไปยืนที่ระเบียงแล้วรู้สึก ตนเองคุ้นกับระเบียงนี้ มุมนี้ และการยืนแบบนี้..

เมื่อได้พบใครเป็นครั้งแรกแล้วเกิดอาการ “ปิ๊ง” ขึ้นมาทันที...ใช่เลย เขาคนนี้แหละที่เคยปรากฏในจินตนาการของเรา

บางคนที่เคยเขียนภาพทิวทัศน์จากจินตนาการ แล้วก็ได้ไปพบทัศนียภาพนั้นตรงกับที่เขียนไว้เป๊ะๆ... เนินตรงนั้น...ต้นไม้ใหญ่ตรงนั้น...วัวกำลังยืนเคี้ยวเอื้องอยู่ตรงนั้น

เดจาวู ทางการแพทย์เขาเรียกว่า การไหลของคลื่นกระแสไฟฟ้า ในสมองเกิดการผิดปกติค่ะ คือ ไหลไปยังไงไม่รู้ทำให้การกระทำที่เรากำลังทำอยู่ ณ ขณะนั้นคลับคล้ายว่าเคยเกิดมาก่อนหน้านี้มาแล้ว แต่ไม่สามารถจำเวลาได้

แต่โดยความเชื่อของเราเองแล้วนั้น ที่เรียกว่าเดจาวู นี่เป็นประสบการณ์ทางจิต ที่เกิดได้กับทุกคนและทุกเวลา คือมันเป็นทั้งโลกคู่ขนาน และเวลาที่ผ่านไปแล้วในอดีตอันยาวไกล ( ชาติก่อนๆโน้น ) คล้ายๆกับ ทฦษฎีสัมพันธภาพ ของไอน์สไตน์ล่ะค่ะคือสิ่งใดก็ตามที่เคยเกิดไปแล้วในอดีต จะย้อนกลับมาเกิดซ้ำ อีกเหมือนกับการที่ เรากลับชาติมาหลายๆชาติ นั่นแหละค่ะ

ทฤษฏีของเดจาวู
เดจาวู (ฝรั่งเศส:ทฤษฏีของเดจาวู Déjà vu เดชาวู แปลว่า เคยได้พบเห็นมาแล้ว) คำว่าเดจาวูได้บันทึกขึ้นมาจากนักจิตวิทยาชาวฝรั่งเศส Emile Boirac (1851–1917) ในหนังสือ L'Avenir des sciences psychiques (แปลว่า อนาคตของวิทยาศาสตร์จิตวิทยา)

อาการเดจาวูคือรู้สึกว่าเหตุการณ์นั้นเคยพบมาแล้ว ทั้งๆที่เพิ่งพบครั้งแรก โดยเราอาจจะคิดว่าเราเพ้อฝันไป

เดจาวู เป็นประสบการณ์ทางจิต ที่เกิดได้กับทุกคน และทุกเวลา อาจเป็นอดีตชาติ อาจเป็นโลกคู่ขนาน อาจเป็นพลังจิต หรืออาจเป็นแค่ภาพลวงตาทางสมอง

ทฤษฎีแรก อดีต

สิ่งใดก็ตามที่เคยเกิดไปแล้วในอดีต จะย้อนกลับมาเกิดซํ้าอีก เราจะผ่านประสบการณ์มากมาย และบางสิ่งอาจหลงเหลือในความทรงจำ แล้วย้อนกลับมาเกิดอีก ทำให้รู้สึกว่าเคยเห็นมาก่อน

    เดจาวู เป็นประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ.. ศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ เรียกว่า เดจาวู มันเกิดจากการที่ขณะหลับ จะมีการหลับอยู่หลายขั้น (ประมาณ 5 ขั้น) ถ้าเห็นอนาคตที่เคยทำ ก็จะอยู่ประมาณขั้นที่ 3 ยิ่งขั้นมากขึ้น ความสัมพันธ์กับร่างกายและวิญญาณ จะยิ่งห่างไกลกันออกไป ถ้าหลับลึกถึงขั้นที่ 5 ก่อนหลับจะรู้สึกชาตามร่างกายทั้งตัว ขยับตัวเองไม่ได้ พูดไม่ได้ (ลักษณะที่คนทั่วไปเรียกว่าถูกผีอำ) ถ้าหลับในสภาพนี้ อัตราค่าซิงโครกับร่างกายจะลดต่ำ ลงจนเหลือ 0 แล้ววิญญาณก็จะหลุดออกจากร่างกาย

ทฤษฎีที่สอง พลังจิต

บ้างก็ว่า เดจาวู เป็นพลังจิตรูปหนึ่ง บ้างก็ว่าเป็นทิพจักขุญาณ (ความรู้คล้ายตาทิพย์) ซึ่งได้มาจากการเจริญสมถะภาวนาในหมวดของกสิณ 3 กองคือ เตโชกสิณ (กสิณไฟ), โอทากสิณ (กสิณสีขาว) และ อาโลกสิณ (กสิณแสงสว่าง) จากทั้งหมด 10 กอง

เราทุกคนมีพลังจิต เพียงแต่จะอ่อนจะเข้ม บางทีเพราะเราไม่ได้ฝึก จะเก็บกดไว้ภายใน วันดีคืนดีก็ล้นออกมา ตามตำรา ถ้าได้ฝึก เราสามารถควบคุมได้

มีนักพยากรณ์หลายคน พยากรณ์ได้จากการเพ่ง ว่ากันว่า มีผู้หนึ่งมีเดจาวูแรงกล้ามาก หาใครเปรียบได้ไม่ เขาชื่อ นอสตราดามุส

ทฤษฎีที่สาม จักรวาลคู่ขนาน

อธิบายเกี่ยวกับ โลกคู่ขนาน หรือ จักรวาลคู่ขนานก่อน หมายถึง จักรวาลที่ดำเนินไปพร้อมกับจักรวาลที่เราอยู่นี้ ทฤษฎีนี้นักฟิสิกส์ริเริ่มคิดขึ้นมา มีเหตุการณ์ที่เราลังเลอยู่ 2 ทาง แต่เราก็ตัดสินใจไปทางหนึ่ง แล้วคิดไหมว่า ถ้า ณ วันนั้นเราตัดสินใจเป็นอย่างอื่น อะไรจะเกิดขึ้น

ในโลกนี้ที่เรามีตัวตนอยู่ในขณะนี้ ขณะเดียวกันก็มีเราอีกคนหนึ่งในอีกโลกหนึ่ง และมีโลกคู่ขนานมากมายนับไม่ถ้วน

ทฤษฎีสุดท้าย คิดไปเอง

    ตามแนวคิดของหลักวิทยาศาสตร์อธิบายว่า เกิดจากสมองแปลข้อมูลผิดพลาด พูดง่าย ๆ ก็คือ ไม่ได้เห็นมาแล้วหรอก แต่คิดไปว่าเห็นมาแล้ว
    ทางการแพทย์เรียกว่า การไหลของคลื่นกระแสไฟฟ้าในสมองเกิดการผิดปกติ สมองคนเราก็เหมือนเครื่องจักรย่อมเกิดข้อผิดพลาดได้บ้าง ทำให้การกระทำที่กำลังทำอยู่ ณ ขณะนั้น คลับคล้ายว่าเคยเกิดมาก่อนหน้านี้มาแล้ว แต่ไม่สามารถจำเวลาได้

Credit : www.dek-d.com

CosZ MosS : เด็กๆผมเป็นบ่อยมาก = ="

นีล โบร์

0 ความคิดเห็น


โจทย์ข้อหนึ่งในข้อสอบวิชาฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกนมีดังนึ้
"จงอธิบายว่าท่านจะใช้บารอมิเตอร์วัดความสูงของตึกระฟ้าได้อย่างไร"

รู้จักกันนะครับ ว่าบาร์รอมิเตอร์นี่ก็คือเครื่องมือวัดความกดอากาศนั่นเอง
(อธิบายเพิ่มเติมก็คงต้องบอกว่า อากาศนั้นมันมีน้ำหนักหรือมีแรงกดนั่น
และแรงกดของอากาศนั้นเมื่ออยู่ในระดับความสูงที่เปลี่ยนไป
ความกดอากาศก็เปลี่ยนไปด้วย)
นักศึกษาคนหนึ่งเขียนคำตอบลงไปว่า

"เอาเชือกยาวๆ ผูกกับบารอมิเตอร์แล้วหย่อนลงมาจากยอดตึก แล้วก็เอาความยาวเชือก
บวกความสูงบารอมิเตอร์ก็จะได้ความสูงของตึก"

ฟังดูเป็นอย่างไรครับคำตอบนี้ ผมฟังครั้งแรกผมยังอมยิ้มเลยครับ
แต่อาจารย์ที่ตรวจข้อสอบไม่นึกขันอย่างผมด้วย
อาจารย์ตัดสินให้นักศึกษาคนนั้นสอบตก
นักศึกษาผู้นั้นยืนยันต่ออาจารย์ที่ปรึกษาว่า
คำตอบของเขาควรจะถูกต้องอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
และคำตอบของเขาก็สามารถพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์
ทางมหาวิทยาลัยจึงตั้งกรรมการชุดหนึ่งมาตัดสินเรื่องนี้
และในที่สุดคณะกรรมการก็มีความเห็นตรงกันว่า
คำตอบนั้นถูกต้องอย่างแน่นอน
แต่เป็นคำตอบที่ไม่แสดงถึงความรู้ความสามารถทางฟิสิกส์ ดังนั้น
เพื่อเป็นการแก้ข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้น
ทางคณะกรรมการจึงให้เรียกนักศึกษาคนนั้นมา
แล้วให้สอบข้อสอบข้อนั้นอีกครั้งหนึ่งต่อหน้า โดยให้เวลาเพียง 6 นาที
เท่ากับเวลาในการสอบข้อสอบเดิม
เพื่อหาคำตอบที่แสดงให้เห็นถึงความรู้ทางด้านฟิสิกส์

หลังจากผ่านไป 3 นาที นักศึกษาคนนั้นก็ยังนั่งนิ่งอยู่
กรรมการจึงเตือนว่า เวลาผ่านไปครึ่งหนึ่งแล้วจะไม่ตอบหรืออย่างไร
นักศึกษาหัวรั้นจึงตอบว่า เขามีคำตอบมากมายที่เกี่ยวกับฟิสิกส์
แต่ไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะใช้คำตอบไหนดี
และเมื่อได้รับคำเตือนอีกครั้ง
นักศึกษาจึงเขียนคำตอบลงไปดังนี้

ให้เอาบารอมิเตอร์ขึ้นไปบนดาดฟ้าตึกและทิ้งลงมา จับเวลาจนถึงพื้น, ความสูงของ
ตึกหาได้จากสูตร H=0.5g*t กำลัง 2

หรือถ้าแดดแรงพอ
ให้วัดความสูงบารอมิเตอร์แล้วก็วางบารอมิเตอร์ให้ตั้งฉากพื้น แล้ววัดความยาวของ
เงาบารอมอเตอร์
จากนั้นก็วัดความยาวของเงาตึก แล้วคิดด้วยตรีโกณมิติก็จะได้ความสูงของตึกโดยไม่
ต้องขึ้นไปบนตึกด้วยซ้ำ

หรือถ้าเกิดอยากใช้ความสามารถด้านวิทยาศาสตร์มากกว่านี้
ก็เอาเชือกเส้นสั้นๆ มาผูกกะบารอมิเตอร์แล้วแกว่งเหมือนลูกตุ้ม ตอนแรกก็แกว่ง
ระดับพื้นดิน แล้วก็ไปแกว่งอีกทีบนดาดฟ้า ความสูงของตึกจะหาได้จาก ความแตกต่าง
ของคาบการแกว่ง
เนื่องจากความแตกต่างของแรงดึดดูดจากจุดศูนย์กลางของมวล
คำนวณจาก T = 2 พาย กำลัง 2 รากที่ 2 ของ l/g

ถ้าตึกมีบันไดหนีไฟก็ง่ายๆ
ก็เดินขึ้นไปเอาบารอมิเตอร์ทาบแล้วก็ทำเครื่องหมายไปเรื่อยๆ
จนถึงยอดตึกนับไว้คูณด้วยความสูงของบารอมิเตอร์ก็ได้ความสูงตึก

แต่ถ้าคุณเป็นคนที่น่าเบื่อและยึดถือตามแบบแผนจำเจซ้ำซาก
คุณก็เอาบารอมิเตอร์วัดความดันอากาศที่พื้นและที่ยอดตึก คำนวณความแตกต่างของ
ความดันก็จะได้ความสูง

ส่วนวิธีสุดท้ายง่ายและตรงไปตรงมาก็คือ
ไปเคาะประตูห้องภารโรง แล้วบอกว่า อยากได้บารอมิเตอร์สวยๆ ใหม่เอี่ยมสักอันไหม ช่วยบอกความสูงของตึกให้ผมทีแล้วผมจะยกให้

นักศึกษาคนนั้นคือ นีล โบร์
ผู้ได้รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปีค.ศ.1922

Credit : www.facebook.com